ครม.อนุมัติโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ชาวไร่อ้อย ปี 2565 -2567 สนับสนุนแหล่งเงินทุนแก่ชาวไร่อ้อย เพื่อนำไปบริหารจัดการแหล่งน้ำและซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อย และแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)
7 มิถุนายน 2565ประเภท : ข่าวประชาสัมพันธ์
ข้อมูลรูปที่เกี่ยวข้อง
ครม.อนุมัติโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้ชาวไร่อ้อย ปี 2565 -2567 สนับสนุนแหล่งเงินทุนแก่ชาวไร่อ้อย เพื่อนำไปบริหารจัดการแหล่งน้ำและซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร ในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อย และแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5)
อ้อยนับเป็นพืชเศรษฐกิจที่สําคัญของประเทศไทย มีพื้นที่เพาะปลูกประมาณ 10 ล้านไร่ใน 47 จังหวัด เกือบทุกภูมิภาคของประเทศ มีเกษตรกรผู้ปลูกอ้อยกว่า 400,000 ครัวเรือน
สถานการณ์อ้อย ในปี 2564/65 จากการเปิดรับผลผลิตอ้อยเข้าหีบ ตั้งแต่ช่วง ธ.ค.64 ถึงปัจจุบัน มีผลผลิตรวมกว่า 91 ล้านตัน ขณะที่อัตราการหีบอ้อยปัจจุบันเหลือราว 100,000 ตันต่อวัน ดังนั้นคาดการณ์ว่าจะมีอ้อยเข้าหีบเมื่อสิ้นสุดการหีบทั้งหมดได้ราว 91.50 -92 ล้านตัน ซึ่งนับเป็นปริมาณการผลิตอ้อยที่เริ่มกลับมาสู่ระดับสูงอีกครั้ง เทียบกันในปี 2563/64 ปริมาณอ้อยอยู่ที่เพียง 66.67 ล้านตัน ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 10 ปีเนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะภัยแล้ง
และในปีปัจจุบันราคาต้นทุนปรับตัวสูงขึ้น ทั้งราคาปุ๋ย สารเคมี หากราคาปุ๋ยยังไม่มีแนวโน้มลดต่ำลงก็จะยิ่งกระทบหนักขึ้น และเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวช่วงปลายปี 2565 นี้ต้องติดตามภาวะราคาน้ำมัน ค่าแรงต่างๆ ที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยกดดันต่อรายได้เกษตรกรภาพรวม
เพื่อบรรเทาและสนับสนุนแหล่งเงินทุนแก่ชาวไร่อ้อย รัฐบาลและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จึงให้การสนับสนุนสินเชื่อ วงเงินปีละ 2,000 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 6,000 ล้านบาท ดังนี้
1. การชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับเกษตรกรรายคน ปัจจุบันดอกเบี้ยอยู่ที่ร้อยละ 6.50 ต่อปี แต่ผู้กู้จ่ายดอกเบี้ยจริงร้อยละ 2 ต่อปีโดยรัฐบาลชดเชยให้ร้อยละ 3 ต่อปี และ ธ.ก.ส.รับภาระในการช่วยเหลือเกษตรกรร้อยละ 1.50 ต่อปี
2. การชดเชยดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับกลุ่มเกษตรกร สหกรณ์การเกษตร วิสาหกิจชุมชน หรือสถาบันชาวไร่อ้อย ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 4.875ต่อปี โดยที่ผู้กู้จ่ายเพียงร้อยละ 2 ต่อปี รัฐบาลชดเชยร้อยละ 2 ต่อปี และส่วนที่เหลือ ธ.ก.ส.รับภาระในการช่วยเหลือ ร้อยละ 0.875 ต่อปี
3. การช่วยเหลือสำหรับจัดซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร ประเภทรถบรรทุกและพ่วง โดยเรียกเก็บจากผู้กู้ร้อยละ 4 ต่อปี และ ธ.ก.ส.รับภาระในส่วนที่เหลือ (รัฐบาลไม่ต้องชดเชย)
นอกจากนี้ยังอนุมัติกรอบวงเงินงบประมาณเพื่อชดเชยดอกเบี้ยตามโครงการชดเชยดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อยสำหรับบริหารจัดการแหล่งน้ำและซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรในไร่อ้อยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) ปี 2565 – 2567 เพื่อให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนรูปแบบการเก็บเกี่ยวจากเดิมใช้การเผา ซึ่งส่งผลต่อปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก(PM2.5)
โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้กับเกษตรกรชาวไร่อ้อย มีเป้าหมาย จัดหาแหล่งเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อพัฒนาการบริหารจัดการน้ำในไร่อ้อย การปรับพื้นที่ปลูกอ้อยเป็นแปลงใหญ่ และการจัดซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร ใช้ในการปลูกอ้อยและบริหารจัดการไร่อ้อยอย่างครบวงจร โดยวงเงินกู้แยกตามวัตถุประสงค์การกู้ ซึ่งวงเงินกู้ แต่ละรายรวมทุกวัตถุประสงค์แล้วต้องไม่เกิน 38.05 ล้านบาท ดังนี้
1. เพื่อพัฒนาแหล่งน้ำและการบริหารจัดการน้ำในไร่อ้อย รายละไม่เกิน 500,000 บาท เช่น การขุดบ่อสระ กักเก็บน้ำ การเจาะบ่อบาดาล การจัดทำระบบน้ำ
2. เพื่อปรับพื้นที่ปลูกอ้อย เป็นแปลงใหญ่ให้เหมาะสมกับเครื่องจักรกลการเกษตร รายละไม่เกิน 500,000 บาท ในอัตราไม่เกินไร่ละ 2,500 บาท
3. เพื่อจัดซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร เช่น รถตัดอ้อย รายละไม่เกิน 15 ล้านบาท รถคีบอ้อย รายละไม่เกิน 2 ล้านบาท รถแทรกเตอร์ รายละไม่เกิน 6 ล้านบาท มีระยะเวลาจ่ายเงินกู้ 3 ปี (1 ต.ค.2564 - 30 ก.ย.2567)
สำหรับระยะเวลาการชำระคืน แบ่งเป็นเงินกู้การบริหารจัดการน้ำและปรับพื้นที่ปลูกอ้อย ไม่เกิน 6 ปี ส่วนการซื้อเครื่องจักรกลชำระคืนไม่เกิน 8 ปี
ทั้งนี้ ภายในโครงการจะมีพื้นที่ปลูกอ้อยได้รับประโยชน์ประมาณ 1.5 ล้านไร่ ซึ่งในปี 2562 – 2564 ปล่อยสินเชื่อไปแล้ว 4,579 ล้านบาท โดยมีพื้นที่ปลูกอ้อยที่ได้รับประโยชน์ประมาณ 8.4 แสนไร่